Friday, September 14, 2012

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน นางแย้ม

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน

นางแย้ม

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Clerodendrum chinense (Osbeck) Mabb.
ชื่อพ้อง :  Volkameria fragrans  Vent.

ชื่อสามัญ :   Glory Bower

วงศ์ :   Labiatae

ชื่ออื่น :  ปิ้งหอม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มลำต้นเตี้ยสูงประมาณ 3-5 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยวจะออกเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกัน ลักษณะใบเป็นรูปใบโพธิ์ ตรงปลายแหลมแต่ไม่มีติ่ง ขอบใบหยักรอบใบ ออกดอกเป็นช่อ ดอกจะเบียดเสียดติดกันแน่นในช่อ ช่อดอกหนึ่งกว้างประมาณ 4-5 นิ้ว ลักษณะดอกย่อยคล้ายดอกมะลิซ้อนสีขาว บานเต็มที่ประมาณ 1 นิ้ว ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงสีม่วงแดงเป็นหลอดสั้น ปลายแยก 5-6 แฉก ดอกย่อยบานไม่พร้อมกันและบานนานหลายวัน มีกลิ่นหอมมากทั้งกลางวันและกลางคืน ออกดอกตลอดปี
ส่วนที่ใช้ :  ต้น ใบ และราก

สรรพคุณ :

    ใบ  -   แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน

    ราก
    -  ขับระดู ขับปัสสาวะ
    -  แก้หลอดลมอักเสบ ลำไส้อักเสบ
    -  แก้เหน็บชา บำรุงประสาท รวมทั้งเหน็บชาที่มีอาการบวมช้ำ
    -  แก้ไข้ แก้ฝีภายใน
    -  แก้ริดสีดวง ดากโผล่
    -  แก้กระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรัง
    -  แก้ปวดเอว และปวดข้อ แก้ไตพิการ

ตำรับยา และวิธีใช้

    เหน็บชา ปวดขา
    ใช้ราก 15-30 กรัม ตุ๋นกับไก่ รับประทานติดต่อกัน 2-3 วัน

    ปวดเอวปวดข้อ เหน็บชาที่มีอาการบวมช้ำ
    ใช้รากแห้ง 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม

    ขับระดูขาว ลดความดันโลหิตสูง แห้หลอดลมอักเสบ
    ใช้ราก และใบแห้ง 15-30 กรัม ต้มน้ำดื่ม

    ริดสีดวงทวาร ดากโผล่
    ใช้รากแห้งจำนวนพอควร ต้มน้ำ แล้วนั่งแช่ในน้ำนั้นชั่วครู่

    โรคผิวหนัง ผื่นคัน เริม
    ใช้ใบสด จำนวนพอควร ต้มน้ำชะล้างบริเวณที่เป็น

สารเคมีที่พบ :  มี Flavonoid glycoside, phenol, saponin และ Tannin
      

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน ทองพันชั่ง

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน

ทองพันชั่ง

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Rhinacanthus nasutus  (L.) Kurz

ชื่อสามัญ :   White crane flower

วงศ์ :    ACANTHACEAE

ชื่ออื่น :  ทองคันชั่ง หญ้ามันไก่

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบ เดี่ยว ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากล่างมีประสีม่วงแดง ผล แก้ง แตกได้
ส่วนที่ใช้ :  ใบสด รากสด หรือตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้

สรรพคุณ : ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคันเรื้อรัง
วิธีและปริมาณที่ใช้ : 

    ใช้ใบสด หรือราก ตำแช่เหล้า หรือแอลกอฮอล์ ทาบ่อย 

    ใช้ใบสด ตำให้ละเอียด ผสมน้ำมันก๊าด ทาบริเวณที่เป็นกลาก วันละ 1 ครั้ง เพียง 3 วัน โรคกลากหายขาด

    ใช้รากทองพันชั่ง 6-7 รากและหัวไม้ขีดไฟครึ่งกล่อง นำมาตำเข้ากันให้ละเอียด ผสมน้ำมันใส่ผมหรือวาสลิน (กันไม่ให้ยาแห้ง) ทาบริเวณที่เป็นกลาก หรือโรคผิวหนังบ่อยๆ

    ใช้รากของทองพันชั่ง บดละเอียดผสมน้ำมะขามและน้ำมะนาว ชโลมทาบริเวณที่เป็น

      

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน ขมิ้นชัน

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน

ขมิ้นชัน



ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Curcuma longa  L.

ชื่อสามัญ :   Turmaric

วงศ์ :   Zingiberaceae
ชื่ออื่น : ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 30-90 ซม. เหง้าใต้ดินรูปไข่มีแขนงรูปทรงกระบอกแตกออกด้านข้าง 2 ด้าน ตรงกันข้ามเนื้อในเหง้าสีเหลืองส้ม มีกลิ่นเฉพาะ ใบ เดี่ยว แทงออกมาเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนทับกันรูปใบหอก กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอก ช่อ แทงออกจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีนวล บานครั้งละ 3-4 ดอก ผล รูปกลมมี 3 พู

ส่วนที่ใช้ : เหง้าแก่สด และแห้ง

สรรพคุณ :

    เป็นยาภายใน
    - แก้ท้องอืด
    - แก้ท้องร่วง
    - แก้โรคกระเพาะ

    เป็นยาภายนอก
    - ทาแก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง พุพอง
    - ยารักษาชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน

วิธีและปริมาณที่ใช้

    เป็นยาภายใน
    เหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้ว เอามาขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง

    เป็นยาภายนอก
    เหง้าแก่แห้งไม่จำกัดจำนวน ป่นให้เป็นผงละเอียด ใช้ทาตามบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคัน โดยเฉพาะในเด็กนิยมใช้มาก

สารเคมี
          ราก และ เหง้า มี tumerone, zingerene bissboline, zingiberene,(+) - sabinene, alpha-phellandrene, curcumone, curcumin

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน ข่า

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน

ข่า



ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Alpinia  galanga   (L.) Willd.

ชื่อสามัญ :   Galanga

วงศ์ :   Zingiberaceae

ชื่ออื่น :  ข่าหยวก  ข่าหลวง (ภาคเหนือ) , กฏุกกโรหินี (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 1.5-2 เมตร เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน ใบ  เดี่ยว เรียงสลับ รูปใบหอก รูปวงรีหรือเกือบขอบขนาน กว้าง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก  ช่อ ออกที่ยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 3 กลีบ กลีบใหญ่ที่สุดมีริ้วสีแดง ใบประดับรูปไข่ ผล  เป็นผลแห้งแตกได้ รูปกลม

สรรพคุณ :

    เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม
    แก้อาหารเป็นพิษ
    เป็นยาแก้ลมพิษ
    เป็นยารักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ติดเขื้อแบคทีเรีย เชื้อรา

    วิธีและปริมาณที่ใช้ :

        รักษาท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ท้องเดิน (ที่เรียกโรคป่วง) แก้บิด อาเจียน ปวดท้อง
        ใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1-1 ½ นิ้วฟุต (หรือประมาณ 2 องคุลี) ตำให้ละเอียด เติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่ม ครั้งละ ½ ถ้วยแก้ว วันละ 3 เวลา หลังอาหาร

        รักษาลมพิษ
        ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ที่สด 1 แง่ง ตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรงพอให้แฉะๆ ใช้ทั้งเนื้อและน้ำ ทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อยๆ จนกว่าจะดีขึ้น

        รักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง
        ใช้เหง้าข่าแก่ เท่าหัวแม่มือ ตำให้ละเอียดผสมเหล้าโรง ทาที่เป็นโรคผิวหนัง หลายๆ ครั้งจนกว่าจะหาย

    สารเคมี
               1 - acetoxychavicol acetate น้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย monoterene  2 - terpineol, terpenen  4 - ol, cineole, camphor, linalool, eugenol

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน กุ่มบก

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน

กุ่มบก



ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Crateva adansonii  DC. subsp. trifoliata (Roxb.) Jacobs

ชื่อสามัญ :  Sacred Barnar, Caper Tree

วงศ์ :  Capparaceae

ชื่ออื่น : ผักกุ่ม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 6-10 ม. ใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบประกอบยาว 7-9 ซม. ใบย่อยรูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 4-6 ซม. ยาว 7.5-11 ซม. ปลายแหลมหรือเรียวแหลม โคนแหลมหรือสอบแคบ ขอบเรียบ ใบย่อยที่อยู่ด้านข้างโคนใบเบี้ยว แผ่นใบค่อนข้างหนา เส้นแขนงใบข้างละ 4-5 เส้น ก้านใบย่อยยาว 4-5 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามง่ามใบใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว 3-7 ซม. กลีบเลี้ยงรูปรี กว้าง 2-3 มม. ยาว 4-5 มม. เมื่อแห้งมักเป็นสีส้ม กลีบดอกสีขาวอมเขียวแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือชมพูอ่อน รูปรี กว้าง 0.8-1.5 ซม. ยาว 1.2-1.8 ซม. โคนกลีบเป็นเส้นคล้ายก้าน ยาว 3-7 มม. เกสรเพศผู้สีม่วง มี 15-22 อัน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 4 ซม. ก้านชูเกสรเพศเมียยาวประมาณ 5 ซม. รังไข่ค่อนข้างกลมหรือรี มี 1 ช่อง ผลกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3.5 ซม. เปลือกมีจุดแต้มสีน้ำตาลอมแดง เมื่อแก่เปลือกเรียบ ก้านผลกว้าง 2-4 มม. ยาว 5-13 ซม. เมล็ดรูปคล้ายเกือกม้าหรือรูปไต กว้างประมาณ 2 มม. ยาวประมาณ 6 มม. ผิวเรียบ

สรรพคุณ :

    ใบ  -  ขับลม ฆ่าแม่พยาธิ เช่น พวกตะมอย และทาแก้เกลื้อนกลาก

    เปลือก  - ร้อน ขับลม แก้นิ่ง แก้ปวดท้อง ลงท้อง คุมธาตุ

    กระพี้ - ทำให้ขี้หูแห้งออกมา

    แก่น - แก้ริดสีดวง ผอม เหลือง

    ราก - แก้มานกษัย อันเกิดแต่กองลม

    เปลือก - ใช้ทาภายนอก แก้โรคผิวหนัง

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด เสาวรส

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด

เสาวรส

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Passiflora laurifolia  L.

ชื่อสามัญ :  Jamaica honey-suckle, Passion fruit, Yellow granadilla

วงศ์ :  Passifloraceae

ชื่ออื่น : สุคนธรส (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้เถา เถามีลักษณะกลม ใบ เป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักลึก ที่ก้านใบมีต่อมใบ ดกหนา เป็นมันสีเขียวแก่ ดอก ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้อยคว่ำคล้ายกับดวงไฟโคม กาบดอกหุ้มสีเขียว กลีบชั้นนอกเป็นรูปกระบอก ปลายแฉกด้านหลังมีสีเขียวแก่ ด้านในมีสีม่วงอ่อนประกอบด้วยจุดแดง ๆ กลีบชั้นในลักษณะคล้ายกับตัวแฉกของกลีบชั้นนอก สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อนมีประสีแดงแซม กลีบย่อยกลางมีเป็นชั้น ๆ สองชั้นแต่ละกลีบค่อนข้างกลม สีม่วงแก่ พาดด้วยปลายสีขาวสลับแดง มีเกสรอยู่ตรงกลางสีเขียวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรงจัดมาก ผล เป็นรูปไข่หรือไข่ยาว มีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ ผิวผลสีม่วง สีเหลือง สีส้มอมน้ำตาล เปลือกผล เรียบ เนื้อรับประทานได้ มีเมล็ดจำนวนมาก อยู่ตรงกลาง

สรรพคุณ : ลดไขมันในเส้นเลือด

วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ผลที่แก่จัด ไม่จำกัดจำนวน ล้างสะอาด ผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมตามชอบ ใช้ดื่มเป็นน้ำผลไม้ ลดไขมันในเส้นเลือด
         

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด คำฝอย

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด

คำฝอย



ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Carthamus tinctorius  L.

ชื่อสามัญ :  Safflower, False Saffron, Saffron Thistle

วงศ์ :  Compositae

ชื่ออื่น : คำ  คำฝอย ดอกคำ (เหนือ)  คำยอง (ลำปาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 40-130 ซม. ลำต้นเป็นสัน แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรี รูปใบหอกหรือรูปขอบขนาน กว้าง 1-5 ซม. ยาว 3-12 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อย ปลายเป็นหนามแหลม ดกช่อ ออกที่ปลายยอด มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อบานใหม่ๆ กลีบดอกสีเหลืองแล้วจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบประดับแข็งเป็นหนามรองรับช่อดอก ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม สีขาว ขนาดเล็ก

สรรพคุณ :

    ดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล
    - รสหวาน บำรุงโลหิตระดู แก้น้ำเหลืองเสีย แก้แสบร้อนตามผิวหนัง
    - บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ขับระดู แก้ดีพิการ
    - โรคผิวหนัง ฟอกโลหิต
    - ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน

    เกสร
    - บำรุงโลหิต ประจำเดือนของสตรี

    เมล็ด
    - เป็นยาขับเสมหะ แก้โรคผิวหนัง ทาแก้บวม
    - ขับโลหิตประจำเดือน
    - ตำพอกหัวเหน่า แก้ปวดมดลูกหลังจากการคลอดบุตร

    น้ำมันจากเมล็ด
    - ทาแก้อัมพาต และขัดตามข้อต่างๆ

    ดอกแก่
    - ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          ชาดอกคำฝอย ช่วยเสริมสุขภาพ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด โดยใช้ดอกแห้ง 2 หยิบมือ (2.5 กรัม) ชงน้ำร้อนครึ่งแก้ว ดื่มเป็นเครื่องดื่มได้
สารเคมี
          ดอก  พบ Carthamin, sapogenin, Carthamone, safflomin A, sfflor yellow, safrole yellow
         เมล็ด จะมีน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว
คุณค่าด้านอาหาร
         ในเมล็ดคำฝอย มีน้ำมันมาก สารในดอกคำฝอย พบว่าแก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้
         ในประเทศจีน ดอกคำฝอย เป็นยาเกี่ยวกับสตรี ตำรับยาที่ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้างไม่เป็นปกติ หรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว มักจะใช้ดอกคำฝอยด้วยเสมอ โดยต้มน้ำแช่เหล้า หรือใช้วิธีตำพอก แต่มีข้อควรระวังคือ หญิงมีครรภ์ ห้ามรับประทาน
         ใช้ดอกคำฝอยแก่ มาชงน้ำร้อน กรอง จะได้น้ำสีเหลืองส้ม (สาร safflower yellow) ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด กระเจี๊ยบแดง

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด

กระเจี๊ยบแดง

 http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/images/hb_14.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Hibiscus sabdariffa  L.

ชื่อสามัญ : Jamaican Sorel, Roselle

วงศ์ :  Malvaceae

ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ  กระเจี๊ยบเปรี้ย  ผักเก็งเค็ง  ส้มเก็งเค็ง  ส้มตะเลงเครง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้

สรรพคุณ :

    กลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล

    เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย

    ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด

    น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง

    ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี

    น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง

    ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ

    เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ

    เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย

    ใบ  แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก

    ดอก  แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก

    ผล  ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ

    เมล็ด  บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด

          นอกจากนี้ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด ดังนี้คือ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน
          นอกจากใช้เดี่ยวๆ แล้ว ยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา  (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป
สารเคมี
          ดอก  พบ Protocatechuic acid, hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin
คุณค่าด้านอาหาร
          น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
          น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ
      

สรรพคุณสมุนไพร พืชสมุนไพร


        พืชสมุนไพร เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ  และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด
          ความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆ กันว่า สมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด
         ภาครัฐเริ่มกลับมาเห็นคุณค่าของสมุนไพรไทยอีกครั้งด้วยการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 ว่า  " ให้มีการผสมผสานการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเข้ากับระบบบริการสาธารณสุขของชุมชนอย่างเหมาะสม"
          บทความข้าต้นเป็นส่วนหนึ่งในคำนำของหนังสือ "สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด" ซึ่งเภสัชกรหญิงสุนทรี สิงหบุตรา เภสัชกรด้านเภสัชสาธารณสุข  หัวหน้าฝ่ายวิชาการ กองเภสัชกรรม สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้รวบรวมและเรียบเรียง ได้บันทึกไว้ ซึ่งต่อมาทางสำนักอนามัยฯ ได้นำหนังสือดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้ประโยชน์ในงานของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ  การนี้ ทางโครงการฯ เห็นว่าเนื้อหาในหนังสือมีคุณค่าและให้ประโยชน์กับผู้ที่ร่วมงานกับโครงการฯ รวมถึงบุคคลทั่วไป จึงได้นำขึ้นเผยแพร่ในเวบไซต์โครงการฯ
          จึงหวังว่าผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลและได้อ่านเรื่องต่างๆ ในเวบไซต์นี้คงได้รับความรู้และอาจนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองหรือบุคคล รอบข้างได้ไม่มากก็น้อย..

สมุนไพร

สมุนไพร

หมายถึง พืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา ซึ่งหาได้ตามพื้นเมืองไม่ใช่เครื่องเทศ (ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน : 2542)

ยาสมุนไพร

หมายถึง ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือ แร่ ซึ่งมิได้ผสมหรือแปรสภาพ (ตาม พรบ. ยา พ.ศ. 2510)


ยาไทย


หมายถึง ทั้งสมุนไพรและยาแผนโบราณ และหมายถึงลักษณะและวิธีการที่แผนแผนโบราณปรุงสำหรับคนไข้ และปรุงกันเองในหมู่ประชาชน

ทฤษฎีการแพทย์แผนไทย

ทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ระบุว่า ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ร่างกายจะประกอบไปด้วย ธาตุทั้ง 4

1.ธาตุ ดิน (ปถวีธาตุ) หมายถึง องค์ประกอบที่เป็นโครงสร้าง ที่ทำให้ระบบคงรับอยู่ได้ หรือ อวัยวะที่ประกอบกันเป็นร่างกาย มี 20 อย่าง ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เส้นและเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้เล็ก อาหารใหม่ อาหารเก่า และมันในสมอง

2. ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) ส่วนที่เป็นของเหลวในร่างกาย มี 12 ประเภท คือ น้ำดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น มันเหลว นำตา น้ำตา น้ำมูกน้ำลาย ไขข้อ น้ำปัสสาวะ

3. ธาตุลม (วาโยธาตุ) หมายถึง พลังในการขับดันภายในร่างกาย เช่น ลมในท้อง ลมจากปลายเท้าถึงศีรษะ

4. ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) หมายถึง พลังความร้อนที่สร้างความอบอุ่น ความร้อน และการเผาไหม้ในร่างกาย มี 4 ประการ ได้แก่
ไฟอุ่น (พลังงานจากการเผาผลาญอาหาร)
ไฟร้อน (สภาพจิตใจ , อารมณ์ด้านลบ)
ไฟเผาให้เสื่อมของเซลล์ตามอายุหรือเหตุอื่น
ไฟย่อยอาหาร (พลังงานที่ควบคุมการเผาผลาญ)

การเกิดโรค

เกิดจากการขาดความสมดุลของธาตุทั้ง 4 ความเจ็บป่วยจะเกิดจากความแปรปรวนของธาตุ จำแนกตามความผิดปกติเป็น 3 ระดับ
หย่อน = ลดลง น้องลง หดไป
กำเริบ = รุนแรง เพิ่มขึ้น
พิการ = การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติไปจากลักษณะเดิม

การใช้ประโยชน์จากสมุนไพร


ใช้ประโยชน์ทางยา เป็นการนำสมุนไพรมาใช้ในการปรับสมดุลในร่างการ (ธาตุทั้ง 4) และการรักษาอาการเจ็บป่วย
รสและสรรพคุณ ของสมุนไพรที่นำมาใช้ทางยา จำแนกรสหลัก 6 รส คือ เปรี้ยว เค็ม หวาน ขม
เผ็ดร้อน และฝาด

1.รสหวาน มีคุณสมบัติ เย็น หนัก ชุ่มชื้น ผลต่อร่างกายคือ หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจ ด้วยความหิวกระหาย เพิ่มทุนเนื้อเยื่อ

2.รสเปรี้ยว มีคุณสมบัติ ร้อน หนัก ชุ่มชื้น ผลต่อร่างกายคือ ทำให้กระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการเกร็ง ช่วยเจริญอาหาร และการย่อยอาหาร

3.เค็ม มีคุณสมบัติ ร้อน หนัก ชุ่มชื้น ผลต่อร่างกายคือ กระตุ้นการขับถ่าย ชำระล้างภายในร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร เนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม ผ่อนคลาย

4.เผ็ดร้อน มีคุณสมบัติ ร้อน เบา แห้ง ผลต่อร่างกายคือ ทำให้เมือกและเสมหะในร่างกายแห้ง

5.ขม มีคุณสมบัติ เย็น เบา แห้ง ผลต่อร่างกายคือ ลดไข้ ลดกำหนัด เมือกแห้ง

6.ฝาด มีคุณสมบัติ เย็น เบา แห้ง ผลต่อร่างกายคือ สมานแผนและเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อหดตัว ลดกำหนัด เมือกแห้ง